วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

การลงทุน 104:ทรัพย์สิน Vs หนี้สิน

ทรัพย์สิน VS หนี้สิน


การหาเงินนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่การใช้เงินนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

ปัญหาคือคนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้ว่า อะไรคือทรัพย์สินอะไรคือหนี้สิน

คนเราจึงเอาเงินที่ตัวเองมี ไปซื้อหนี้สิน!! หนี้สินพวกนี้ไม่เกิดรายได้ แต่เกิดจากความอยากได้

และสุดท้ายก็ติดกับดักหนี้สินติดตัว ต้องหาเงินมาชดใช้หนี้กันไปยาวๆ


ความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินกับหนี้สิน 

ทรัพย์สิน ยิ่งซื้อเก็บไว้ ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้เรา ใช้เงินทำงานให้ เป็น passive income

สิ่งที่เป็นทรัพย์สิน เช่น อสังหาริมทรัพย์, กองทุน, ตราสารหนี้, หุ้น, ลิขสิทธิ์ทางปัญญา

หนี้สิน ยิ่งซื้อเก็บไว้ ยิ่งต้องหาเงินมาใช้หนี้ทุกๆเดือน คล้ายๆกับ passive income แต่เป็นด้านลบแทน

สิ่งที่เป็นหนี้สิน เช่น สิ่งของต่างๆ ที่เกินความจำเป็นและไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งเป็นขยะ)


แน่นอนการหักห้ามใจที่จะไม่ให้ซื้อหนี้สินนั้นเป็นเรื่องยาก ถึงแม้ว่าเราจะรู้ทั้งรู้ว่าจริงๆแล้ว

ถ้ามองในแง่ของการลงทุนมันคือขยะ แต่หลายๆคนอาจจะมีสิ่งที่อยากได้บ้าง ก็ไม่เป็นไร

ให้เราแบ่งเงินส่วนของการลงทุนไว้ส่วนหนึ่งและส่วนของการเก็บเพื่อซื้อของเหล่านี้เพื่อเป็นกำลังใจ

ในการทำงาน ซึ่งถ้าหากเรามีทรัพย์สินที่เยอะมากพอเราก็จะสามารถนำผลตอบแทน

จากการลงทุนไปซื้อหนี้สินได้ โดยไม่กระทบกับทรัพย์สินที่เราควรจะซื้อ


การลงทุน 103:Active Income Vs Passive Income

Active Income Vs Passsive Income


Active Income

     คือเงินที่มาจากการที่เราออกแรงทำงาน เช่น เงินที่มาจากเงินเดือน, เงินจากค่าแรงต่างๆ

เงินทางฝั่ง Active Income จะไม่สามารถทำให้เรารวยได้

เพราะวันใดหากเราหยุดทำงาน เราก็จะไม่มีเงิน ซึ่งคนส่วนใหญ่นั้นทำงานด้าน Active Income

Passive Income

     คือเงินที่ไหลเข้าตัวเรา ทุกๆวินาที แม้ยามเราหลับ เกิดจากการนำเงินของเราไปหาเงินอีกก้อน

พูดง่ายๆเหมือนห่านทองคำ ที่จะทำให้เรารวยได้อย่างยั่งยืน แม้วันนั้นเราจะไม่สามารถทำงานได้แล้ว

แต่ห่านทองคำก็ยังคงออกไข่อยู่เรื่อยๆตลอดไป เงินฝั่งนี้จะเป็นหนทางสู่ความมั่งคั่ง

พูดง่ายๆก็คือ หากเรามีเงินฝั่ง Passive Income มากกว่าเงินที่เราใช้ในแต่ละเดือนนั้นคือ

เราจะมีอิสรภาพทางการเงินหรือที่เรียกว่า Financial Freedom

แปลง่ายๆ ตามศัพท์ที่ผมชอบใช้คือ "ทำอะไรก็ได้โตแล้ว" ทำไมจึงเป็นแบบนี้

ก็เพราะทำอะไรก็ได้โตแล้วไง ไม่เดือดร้อนใคร ไม่ทำงานก็ยังมีเงินเข้าทุกๆเดือน

ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจกับมันเท่าไหร่ ถ้าบางคนบอกว่า เดือนละ 1 หมื่นบาท ฉันก็อยู่ได้

โอเคไม่ยาก ถ้าเดือนละ 1 หมื่นบาท แปลว่าเราต้องมีเงินประมาณ 1,200,000 บาท ไปลงทุน

ในอะไรก็ได้ที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เราจะได้เงิน 120,000 บาท/ปี

แปลว่าเราจะได้เงิน 10,000 บาท ต่อเดือน

และมันจะจ่ายเราทุกๆปีเลี้ยงเราไปจนกว่าเราจะตาย(ถึงตายไปก็จ่ายให้พ่อแม่ หรือลูกหลานอยู่ดี ๕๕)

Passive Income เกิดจากการเราเอาเงินที่เราหามาได้ (ไม่ว่าจะมาจาก Active หรือ Passive)

ไปซื้อ Asset เพื่อให้ Asset ทำเงินให้เราในรูปแบบของปันผลหรือดอกเบี้ยกลับมาให้นั่นเอง


Financial Freedom
 
     เมื่อเราอยู่ในภาวะอิสระภาพทางการเงินแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ เพราะมีเงิน

เลี้ยงชีวิตเราอยู่แล้ว ซึ่งคนที่ก้าวเข้ามายังจุดนี้ได้ จะทำในสิ่งที่หลงใหล หรือเรียกว่า Passion

นั่นคือทำสิ่งที่อยากทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อสังคม ตัวอย่างเช่น บิลเกตส์ หรือ บัฟเฟตต์ ที่ใช้ทรัพย์สิน

ส่วนใหญ่ที่ตัวเองมี นำไปก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือคนด้อยโอกาส นี่ก็เป็น Passion 

เขาเหล่านั้นอยากช่วยคน แต่ก่อนจะช่วยใครตัวเองต้องไม่เดือดร้อนก่อน ซึ่งในไทยก็มีคนมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นการสอนการอบรมฟรี การช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสต่างๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่ต้องการปัจจัย

ในเรื่องของเงิน ไม่มีเงินช่วยใครไม่ได้ อาจจะช่วยได้แต่แรง

แต่ถ้ามีเงินก็ช่วยได้ทั้งแรงทั้งเงิน Happy กว่า...

การลงทุน 102:ลงทุนในไหนดี

ลงทุนในไหนดี ?

ขออ้างอิงรูปจากบทที่แล้วนะครับ


จากบทที่แล้วที่ผมบอกว่ายิ่งฝากเงินกับธนาคารยิ่งจน เพราะมันไม่ชนะเงินเฟ้อ ยิ่งกัดกร่อนไปทุกๆปี

เราอาจเห็นว่าเงินต้นยังอยู่ก็จริงแต่จริงๆแล้วมันเหมือนเราเก็บน้ำไว้ในโอ่งที่รั่ว ค่อยๆรั่วทีละน้อย

ทั้งนี้การลงทุนใน Asset อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พันธบัตร กองทุนต่างๆ

Asset เหล่านี้ล้วนให้ผลตอบแทนที่ดี  แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เงินต้นเรานั้นหายไป

หากเราจำกัดความเสี่ยงได้ มันก็จะไม่เสี่ยงครับ

ดังนั้นหากเรามีเงิน ควรนำไปลงทุนอย่างอื่นดีกว่า อันนี้ขอชี้นำให้เห็นชัดๆเลยครับ

แต่การที่จะลงทุนในอะไรนั้นมันมีกฎอยู่ครับ ซึ่งกฎที่ว่ามีอยู่ 2 ข้อ คือ

1.ต้องใช้เงินเย็นในการลงทุน เงินเย็นคือเงินที่เราคิดว่าไม่ว่ายังไงเราจะไม่ใช้เงินก้อนนี้

เพราะเราจะเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อเงินยังไงล่ะ (passive income ให้เงินทำงานให้เรา ไว้อธิบายอีกทีครับ)

2.ต้องไม่ขาดทุน ข้อนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นกฎการลงทุนที่สำคัญมากๆ เลยทีเดียว


และแน่นอนสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เขียนค้างไว้อีกเรื่องนึงก็คือความเสี่ยง

การที่เราจะได้ผลตอบแทนมากๆนั้นต้องมีความเสี่ยง หลายคนกลัวความเสี่ยง...ผมก็กลัว

ซึ่งถ้าหากเรารู้ว่าเราเสี่ยงกับอะไร เสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน นั่นก็คือการจำกัดความเสี่ยง

หลายคนอาจจะบอกว่า เฮ้ย ฉันไม่อยากเสี่่ยง ฉันอยากมั่นคง ไม่ชอบอะไรเสี่ยงๆ

รู้ไหมครับว่าการที่เราไม่ทำอะไรเลยนั้นเสี่ยงกว่า

เพราะเห็นกันอยู่ชัดๆว่าเงินมันหายไปทุกวันจากเงินเฟ้อ ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน...

แม้กระทั่งใช้ชีวิตประจำวันเราอาจจะเกิดอุบัติเหตุ หรือมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามาในชีวิต

ดังนั้นอย่าไปกลัวความเสี่ยงครับ หาวิธีรับเตรียมรับมือกับมันไว้จะดีกว่า

ก่อนจะจบหัวข้อนี้ผมขอสรุป Asset แต่ละอย่างว่าให้ผลตอบแทนอย่างไร สำหรับการตัดสินใจลงทุน

เงินเฟ้อ = -2.24% (เฟ้อทุกปี ไม่มีปีไหนไม่เฟ้อ)

ดอกเบี้ยเงินฝาก = 1.92% (เหมือนไม่เสี่ยง แต่โอ่งรั่ว)

พันธบัตร = 5.97% (เสี่ยงน้อย ชนะเงินเฟ้อได้นิดหน่อย)

หุ้น = 17.59% (เสี่ยงมาก ชนะเงินเฟ้อได้เยอะ)

การลงทุน 101:รู้เรื่องการลงทุน

 






การลงทุน

คือการนำเงินที่เราเก็บซื้อ ทรัพย์สิน(Asset) ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 2.24%)

สมัยก่อนเราอาจจะคิดว่าการฝากเงินเป็นทั้งวิธีการออมเงินและลงทุนที่ดีที่สุด

เพราะสมัยก่อนดอกเบี้ยเงินฝากนั้นค่อนข้างสูงและเอาชนะเงินเฟ้อได้

แต่ในสมัยนี้ดอกเบี้ยเงินฝากนั้นมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.92% ซึ่งพูดๆง่ายๆคือ ติดลบ ยิ่งฝากยิ่งจน หลายๆคน

อาจจะงงว่าทำไมถึงยิ่งฝากยิ่งจน... มาดูตัวอย่างกัน

ง่ายๆ สมมติเมื่อ 10ปีก่อน เรามีเงิน 10,000 บาท แน่นอนทำอะไรได้เยอะ

สมัยก่อนกินข้าวจานละ 20 บาท วันละ 3 มื้อ จะมีรายจ่ายต่อเดือนคือ 20x3x30 = 1,800 บาท

ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยนี้ ข้าวจานละ 35 บาท 3 มื้อ จะมีรายจ่ายต่อเดือนคือ 35x3x30 = 3,150 บาท




ถ้าคิดเฉพาะค่าข้าว เราจะรู้ว่าข้าวแพงขึ้น 75% ของเมื่อ 10 ปีก่อน สาเหตุเกิดจาก ภาวะเงินเฟ้อที่มี

มากขึ้นทุกปี ให้ค่าเฉลี่ย 9 ปี ตามตารางเปรียบเทียบ คือ -2.24% ทุกปี นั่นเอง

หากดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1.92% ส่วนเงินเฟ้ออยู่ที่ -2.24%

จะพบว่ายิ่งเราฝากเงินกับธนาคาร พอผ่านไปแต่ละปี

เราจะได้ผลตอบแทนคือ -0.32% ยิ่งฝากยิ่งจนแน่นอน... จนในที่นี้ไม่ใช่ เงินเราหายไปนะ

แต่สิ่งที่หายคือมูลค่าของเงิน เช่นเราฝากเงิน 100,000 บาท

อาจจะได้เงิน 101,920 บาท (ได้ดอกเบี้ยมา 1,920 บาท) แต่อย่าลืมเงินเฟ้อที่ตามมา

มันลวงหลอกให้มูลค่าของมันเหลือ 99,680 ต่างหาก (โดนเงินเฟ้อ -2.24% เล่นงานไป)



เห็นไหมครับว่ายิ่งฝากยิ่งจน...



ที่เขียนมาทั้งหมดแปลว่า หากเรามีเงินเก็บ และเงินเก็บงั้นเป็นเงินที่เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะไม่เอามา

ใช้ในชีวิตประจำวัน ควรเอาเงินไปฝากในที่ที่ให้ผลตอบแทนที่เอาชนะเงินเฟ้อได้นั่นเอง


ลองดูตารางเปรียบเทียบผลตอบแทนของการออมเงินในที่ต่างๆกันดูครับ



ตารางเปรียบเทียบผลตอบแทน ระหว่างหุ้น พันธบัตร เงินฝาก และอัตราเงินเฟ้อ


เครดิต:
http://www.moneymartthai.com/special_feature/index.php?cat=dd5c07036f2975ff4bce568b6511d3bc&know_id=39