วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

HoN Strategy


ลายคนอาจจะสงสัย ว่าทำไมแต่ละคนเล่นกันในเลนช่วงแรกๆก็ได้เปรียบนะ ฆ่ารัวๆ พอมากลางเกม เกมเริ่มที่จะเปลี่ยนไป และสุดท้ายแพ้ทีมฝั่งตรงข้าม ทั้งๆที่ตอนต้นเกมนั้นทีมเรากดรัวๆ ก็อาจจะงงๆว่าเฮ้ย เราน่าจะเล่นดีกว่านะแต่ทำไมถึงแพ้ล่ะ ?

จริงๆการแพ้ชนะนั้นมีหลายปัจจัยมาก แต่ปัจจัยที่จะกล่าวในบทความนี้นั้นคือ strategy หรือแผนการเล่น รวมไปถึงจังหวะการเข้าทำ

แผนการเล่นและการเข้าทำนั้นสำคัญมาก ซึ่งมีผลมากกับการตัดสินผลแพ้ชนะ (กรณีฝีมือ player ไม่แตกต่างกันมาก ถ้าต่างกันมากก็ยอมมันเถอะ) ถ้าเป็นทีมฟุตบอลเราอาจจะนึกภาพทีมระดับพระเจ้าอย่างบาร์เซโลน่า ที่มีจังหวะการเล่นที่ดูแล้วลื่นไหล และสุดท้ายนำไปสู่ประตู

ฮอนก็เช่นกัน จังหวะการเล่นและแผนที่ดีก็จะนำไปสู่ชัยชนะได้ ซึ่งในจุดนี้ต้องใช้ประสบการณ์และความเข้าใจสูงมาก ที่จะอ่านเกมและกำหนดแผนการเล่นได้ แต่บทความนี้ก็มีทริคเบื้องต้นมานำเสนอเกี่ยวกับ 2 เรื่องนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างพื้นฐานและนำไปสู่ชัยชนะได้

1.แผนการเล่น

ปัจจัยการเลือกแผนการเล่นนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละทีมว่าจะใช้แผนไหน ใช้ตัวอะไรเป็น carry ขึ้นอยู่กับฮีโร่ของแต่ละฝั่งที่จะเลือกมา ทางแก้ไขคือต้องดักทางฝั่งตรงข้าม ไม่ให้ใช้ฮีโร่ได้ตามแผนของเขา หลายคนอาจจะเลือกฮีโร่ไม่ดู จนเจอแผนดันป้อมพังก่อนนาทีที่ 15 ก็ยังมี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วฮีโร่ที่จะเลือกกันมาก็จะมีอยู่แค่ 4 หน้าที่คือ

1.carry คือ ฮีโร่ไม้ตายที่ไว้ตัดสินเกมในตอนท้าย ต้องเวลรัวๆ เก็บของรัวๆ เพื่อใช้ปิดฉากเกมในตอนท้าย

2.ganker คือ ฮีโร่ที่ใช้ดักฆ่า ฮีโร่อีกฝั่ง ไม่ว่าจะเป็น ganker ด้วยกันเอง หรือ support หรือ carry หน้าที่ที่มีคือไล่ฆ่า ให้อีกฝั่งเล่นยากที่สุดเท่าที่จะยากได้

3.support คือ ฮีโร่ที่คอยช่วยเหลือประคอง carry ฝั่งเรา ไม่ให้ตายง่ายๆ คอยออกหวาด ออกยาให้ทีม เพื่อ การมองเห็นและตายยากๆๆๆๆ

4.pusher คือ ฮีโร่ที่ชอบดันป้อม ไปเลนไหนป้อมพังรัวๆ มักจะเ็นฮีโร่ที่ summon ลูกน้องได้ หรือมีการโจมตีกับป้อมที่แรงมาก

ทั้งนี้ขอแยกประเภทใหญ่ๆ ทั้งหมดเพียงเท่านี้ 

ส่วนแต่ละทีมจะเลือกฮีโร่ตัวไหนมา เราต้องดูด้วยว่า ตัวนี้มันหน้าที่อะไร แล้วแพ้อะไร ต้องเลือกฮีโร่มาแก้ทาง หรือ จะออกของยังไง ตัวอย่างเช่น ฮีโร่ศัตรูเลือก เจราไซ มา เราก็ต้องคิดละว่า เจอราไซ ถ้าหากมัน ใช้สกิลกันเวท ให้ฮีโร่ที่สามารถเข้าถึงตัวเราง่ายๆ เช่น Doctor เราก็จะไม่มีอะไรหยุดมันได้ มันก็จะฆ่าตัว support เราได้ฟรีอย่างไม่ยากเย็น ทางแก้คือ เราก็ควรเลือกฮีโร่ที่มีสกิลทำลาย สกิลกันเวท หรือออก ดาบทำลายมานา (purge) มาเพื่อทำลายสกิลดังกล่าวไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นได้ตามแผนของเขา 

2.จังหวะการเข้าทำ

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและเป็นเบสิคมากๆสำหรับการบวกในทุกจังหวะ เราควรคำนึงดังนี้

1.ฮีโร่ศัตรูจริงๆแล้วมีกี่ตัวกันแน่ ถ้าบวกในเงามืดดำๆแล้วเสียงดวงเอาคิดว่าจะชนะ มีแต่หมูเท่านั้นที่เข้ามาตายแบบนี้ หรือถ้ากรณีเราบวกชนะแม้น้อยกว่านั้นหมายถึง เลเวลกับของเราห่างแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ควรจะประมาทแม้แต่จังหวะเดียว


2.แล้วเราต้องเอาฮีโร่ไปกี่ตัว คำนวณง่ายๆจาก ฮีโร่มันมี 3 เราก็ควรเอาไปอย่างน้อย 3 ตัว โดยที่ 3 ตัวนั้นต้องมีสกิลที่รวมดาเมจกันแล้วต้องฆ่าได้  ถ้ามานาเพื่อนไม่พอก็ควรกลับไปรี เพราะการเข้า gank พลาด 1 จังหวะนั่นคือทำให้เพื่อนที่อยู่บริเวณนั้นเสียโอกาสเก็บเงิน ยิ่งขนไปเยอะ และยิ่งใช้เวลานานเท่าไหร่แทนที่จะได้รับผลดีกลับยิ่งเสียหายซะมากกว่า 

3.ในการ gank 1 ครั้ง ผลลัพธ์ควรจะเป็น ฆ่าได้และฝั่งเราไม่ตายหรือตายน้อยกว่าฝั่งตรงข้าม และตัวที่ตายของฝั่งเรา ไม่ควรเป็น carry ด้วย ถ้าตายคือสุดวิสัย เพราะการฆ่าแล้วตาย แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

4.มินิแมพเป็นเรื่องสำคัญ หากเราวิเคราะห์ว่าฮีโร่ศัตรูกำลังเพลินๆเก็บครีปอยู่ 1 ตัวโดยออกห่างจากป้อมมาก ให้เราพิจารณาต่อดังนี้

4.1 วิเคราะห์ฆ่าได้ไหมจากสกิลที่เรามีและเพื่อนที่อยู่ข้างๆ

4.2 วิ่งเข้าไปทันมั้ย ระหว่างวิ่งเข้าไปกับเพื่อนศัตรูเดินมา อะไรใช้เวลานานกว่ากัน ถ้าพอๆกันก็ไม่ควรเข้าทำ

4.3 มีอะไรที่ทำให้หายตัวได้ไหม  ถ้ามี ซื้อของส่องไป ถ้าไม่มี ก็ไปซื้อของส่องซะ มีแต่หมูเท่านั้นที่โดนฆ่าได้ถึงแม้ว่ามีสกิลหายตัว

4.4 ฮีโร่ที่เป็นเป้ามาย มีสกิลหนีมั้ย ถ้ามี เราต้องหลอกล่อให้มันใช้ออกมาก่อน หรือไม่ก็เพื่อนที่เข้ามากับเรามีสกิล disable อย่าง hex ไหม ถ้ามี ให้ดูว่า ศัตรูมี null ไหม ถ้ามี ให้แตก null ออกก่อนแล้วค่อย hex เพื่อฆ่า กรณี 4.4 ถ้าไม่มีอะไรซักอย่าง ก็ไม่ต้องไปไล่ฆ่ามัน เสียเวลา -*-

4.5 จังหวะไล่ฆ่าดังกล่าวควรอยู่ในระหว่าง 1-5 วินาที  ถ้าเกินกว่านี้คิดไว้เสมอเลยว่าศัตรูจะมาซ้อนทัน และผลลัพธ์จะกลายเป็นเราโดนฆ่าแทน

5.จังหวะ team fight ควรเอาตัวอะไรก่อน ก็ควรจะโฟกัสเป็นตัวเดียวกัน ไม่ว่าจะเลือกฆ่า support ก่อน หรือ carry ก่อน ก็แล้วแต่สถานการณ์ แต่ทั้งทีมต้องตกลงกันว่าจะเอาตัวอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ team fight ที่แย่มากๆคือ ศัตรูเลือดแดงทุกตัว แต่ไม่ตายซักตัว แล้วเราตายหมด จังหวะแบบนี้ถ้าเกิด 2-3 ครั้งสำหรับโหมด CM นั้นถือว่ารอแพ้ได้เลย กรณี 

6.จากข้อ 5 เมื่อเราเลือกฮีโร่เป้าหมายแล้ว หากฝ่ายศัตรูเล่นเป็นเขาจะพยายามป้องกันไม่ให้เราฆ่าฮีโร่เป้าหมายได้ ทีนี้ก็ต้องพิจารณาต่อ ถึงฮีโร่ที่แหลมเข้ามา หรือเข้ามาพลาด เราอาจจะเปลี่ยนเป้าหมายได้ ซึ่งอาจจะเป็นจังหวะที่ดีในการเอาชนะ team fight ครั้งนั้น 

7.จังหวะที่ศัตรูเข้าพลาด มันจะมีผลต่อจิตใจมาก ทำให้ศัตรูจิตตกและไปต่อไม่ถูก สิ่งที่ดีที่สุดคือสวนเพื่อให้เป็นเกมของเราแทน และการทำแบบนี้ส่วนใหญ่มักได้รับชัยชนะจากจังหวะนี้

ุ8.จังหวะ team fight เราเหนือกว่ามั้ย ถ้าไม่ ก็อย่าไปบวกซ้ำๆ เพราะประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิมเสมอ หาทางเก็บเลเวลเก็บของให้ได้ก่อนค่อยมาบวกใหม่ อย่าไปฝืนเลย

9.บีบๆขึงๆให้ team fight เราชนะรัวๆ หากเกิน 3 รอบก็ควรปิดเกมได้เลย

ทั้งหมดก็เป็นเทคนิคพื้นฐานเกี่ยวกับการอ่านเกมครับ


อันความคิดหมูนั้นดูง่าย
เมื่อเข้าใจแล้วก็ดักทางฆ่าหมูซะ !!

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

การลงทุน 104:ทรัพย์สิน Vs หนี้สิน

ทรัพย์สิน VS หนี้สิน


การหาเงินนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่การใช้เงินนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

ปัญหาคือคนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้ว่า อะไรคือทรัพย์สินอะไรคือหนี้สิน

คนเราจึงเอาเงินที่ตัวเองมี ไปซื้อหนี้สิน!! หนี้สินพวกนี้ไม่เกิดรายได้ แต่เกิดจากความอยากได้

และสุดท้ายก็ติดกับดักหนี้สินติดตัว ต้องหาเงินมาชดใช้หนี้กันไปยาวๆ


ความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินกับหนี้สิน 

ทรัพย์สิน ยิ่งซื้อเก็บไว้ ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้เรา ใช้เงินทำงานให้ เป็น passive income

สิ่งที่เป็นทรัพย์สิน เช่น อสังหาริมทรัพย์, กองทุน, ตราสารหนี้, หุ้น, ลิขสิทธิ์ทางปัญญา

หนี้สิน ยิ่งซื้อเก็บไว้ ยิ่งต้องหาเงินมาใช้หนี้ทุกๆเดือน คล้ายๆกับ passive income แต่เป็นด้านลบแทน

สิ่งที่เป็นหนี้สิน เช่น สิ่งของต่างๆ ที่เกินความจำเป็นและไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งเป็นขยะ)


แน่นอนการหักห้ามใจที่จะไม่ให้ซื้อหนี้สินนั้นเป็นเรื่องยาก ถึงแม้ว่าเราจะรู้ทั้งรู้ว่าจริงๆแล้ว

ถ้ามองในแง่ของการลงทุนมันคือขยะ แต่หลายๆคนอาจจะมีสิ่งที่อยากได้บ้าง ก็ไม่เป็นไร

ให้เราแบ่งเงินส่วนของการลงทุนไว้ส่วนหนึ่งและส่วนของการเก็บเพื่อซื้อของเหล่านี้เพื่อเป็นกำลังใจ

ในการทำงาน ซึ่งถ้าหากเรามีทรัพย์สินที่เยอะมากพอเราก็จะสามารถนำผลตอบแทน

จากการลงทุนไปซื้อหนี้สินได้ โดยไม่กระทบกับทรัพย์สินที่เราควรจะซื้อ


การลงทุน 103:Active Income Vs Passive Income

Active Income Vs Passsive Income


Active Income

     คือเงินที่มาจากการที่เราออกแรงทำงาน เช่น เงินที่มาจากเงินเดือน, เงินจากค่าแรงต่างๆ

เงินทางฝั่ง Active Income จะไม่สามารถทำให้เรารวยได้

เพราะวันใดหากเราหยุดทำงาน เราก็จะไม่มีเงิน ซึ่งคนส่วนใหญ่นั้นทำงานด้าน Active Income

Passive Income

     คือเงินที่ไหลเข้าตัวเรา ทุกๆวินาที แม้ยามเราหลับ เกิดจากการนำเงินของเราไปหาเงินอีกก้อน

พูดง่ายๆเหมือนห่านทองคำ ที่จะทำให้เรารวยได้อย่างยั่งยืน แม้วันนั้นเราจะไม่สามารถทำงานได้แล้ว

แต่ห่านทองคำก็ยังคงออกไข่อยู่เรื่อยๆตลอดไป เงินฝั่งนี้จะเป็นหนทางสู่ความมั่งคั่ง

พูดง่ายๆก็คือ หากเรามีเงินฝั่ง Passive Income มากกว่าเงินที่เราใช้ในแต่ละเดือนนั้นคือ

เราจะมีอิสรภาพทางการเงินหรือที่เรียกว่า Financial Freedom

แปลง่ายๆ ตามศัพท์ที่ผมชอบใช้คือ "ทำอะไรก็ได้โตแล้ว" ทำไมจึงเป็นแบบนี้

ก็เพราะทำอะไรก็ได้โตแล้วไง ไม่เดือดร้อนใคร ไม่ทำงานก็ยังมีเงินเข้าทุกๆเดือน

ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจกับมันเท่าไหร่ ถ้าบางคนบอกว่า เดือนละ 1 หมื่นบาท ฉันก็อยู่ได้

โอเคไม่ยาก ถ้าเดือนละ 1 หมื่นบาท แปลว่าเราต้องมีเงินประมาณ 1,200,000 บาท ไปลงทุน

ในอะไรก็ได้ที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เราจะได้เงิน 120,000 บาท/ปี

แปลว่าเราจะได้เงิน 10,000 บาท ต่อเดือน

และมันจะจ่ายเราทุกๆปีเลี้ยงเราไปจนกว่าเราจะตาย(ถึงตายไปก็จ่ายให้พ่อแม่ หรือลูกหลานอยู่ดี ๕๕)

Passive Income เกิดจากการเราเอาเงินที่เราหามาได้ (ไม่ว่าจะมาจาก Active หรือ Passive)

ไปซื้อ Asset เพื่อให้ Asset ทำเงินให้เราในรูปแบบของปันผลหรือดอกเบี้ยกลับมาให้นั่นเอง


Financial Freedom
 
     เมื่อเราอยู่ในภาวะอิสระภาพทางการเงินแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ เพราะมีเงิน

เลี้ยงชีวิตเราอยู่แล้ว ซึ่งคนที่ก้าวเข้ามายังจุดนี้ได้ จะทำในสิ่งที่หลงใหล หรือเรียกว่า Passion

นั่นคือทำสิ่งที่อยากทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อสังคม ตัวอย่างเช่น บิลเกตส์ หรือ บัฟเฟตต์ ที่ใช้ทรัพย์สิน

ส่วนใหญ่ที่ตัวเองมี นำไปก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือคนด้อยโอกาส นี่ก็เป็น Passion 

เขาเหล่านั้นอยากช่วยคน แต่ก่อนจะช่วยใครตัวเองต้องไม่เดือดร้อนก่อน ซึ่งในไทยก็มีคนมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นการสอนการอบรมฟรี การช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสต่างๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่ต้องการปัจจัย

ในเรื่องของเงิน ไม่มีเงินช่วยใครไม่ได้ อาจจะช่วยได้แต่แรง

แต่ถ้ามีเงินก็ช่วยได้ทั้งแรงทั้งเงิน Happy กว่า...

การลงทุน 102:ลงทุนในไหนดี

ลงทุนในไหนดี ?

ขออ้างอิงรูปจากบทที่แล้วนะครับ


จากบทที่แล้วที่ผมบอกว่ายิ่งฝากเงินกับธนาคารยิ่งจน เพราะมันไม่ชนะเงินเฟ้อ ยิ่งกัดกร่อนไปทุกๆปี

เราอาจเห็นว่าเงินต้นยังอยู่ก็จริงแต่จริงๆแล้วมันเหมือนเราเก็บน้ำไว้ในโอ่งที่รั่ว ค่อยๆรั่วทีละน้อย

ทั้งนี้การลงทุนใน Asset อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พันธบัตร กองทุนต่างๆ

Asset เหล่านี้ล้วนให้ผลตอบแทนที่ดี  แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เงินต้นเรานั้นหายไป

หากเราจำกัดความเสี่ยงได้ มันก็จะไม่เสี่ยงครับ

ดังนั้นหากเรามีเงิน ควรนำไปลงทุนอย่างอื่นดีกว่า อันนี้ขอชี้นำให้เห็นชัดๆเลยครับ

แต่การที่จะลงทุนในอะไรนั้นมันมีกฎอยู่ครับ ซึ่งกฎที่ว่ามีอยู่ 2 ข้อ คือ

1.ต้องใช้เงินเย็นในการลงทุน เงินเย็นคือเงินที่เราคิดว่าไม่ว่ายังไงเราจะไม่ใช้เงินก้อนนี้

เพราะเราจะเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อเงินยังไงล่ะ (passive income ให้เงินทำงานให้เรา ไว้อธิบายอีกทีครับ)

2.ต้องไม่ขาดทุน ข้อนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นกฎการลงทุนที่สำคัญมากๆ เลยทีเดียว


และแน่นอนสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เขียนค้างไว้อีกเรื่องนึงก็คือความเสี่ยง

การที่เราจะได้ผลตอบแทนมากๆนั้นต้องมีความเสี่ยง หลายคนกลัวความเสี่ยง...ผมก็กลัว

ซึ่งถ้าหากเรารู้ว่าเราเสี่ยงกับอะไร เสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน นั่นก็คือการจำกัดความเสี่ยง

หลายคนอาจจะบอกว่า เฮ้ย ฉันไม่อยากเสี่่ยง ฉันอยากมั่นคง ไม่ชอบอะไรเสี่ยงๆ

รู้ไหมครับว่าการที่เราไม่ทำอะไรเลยนั้นเสี่ยงกว่า

เพราะเห็นกันอยู่ชัดๆว่าเงินมันหายไปทุกวันจากเงินเฟ้อ ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน...

แม้กระทั่งใช้ชีวิตประจำวันเราอาจจะเกิดอุบัติเหตุ หรือมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามาในชีวิต

ดังนั้นอย่าไปกลัวความเสี่ยงครับ หาวิธีรับเตรียมรับมือกับมันไว้จะดีกว่า

ก่อนจะจบหัวข้อนี้ผมขอสรุป Asset แต่ละอย่างว่าให้ผลตอบแทนอย่างไร สำหรับการตัดสินใจลงทุน

เงินเฟ้อ = -2.24% (เฟ้อทุกปี ไม่มีปีไหนไม่เฟ้อ)

ดอกเบี้ยเงินฝาก = 1.92% (เหมือนไม่เสี่ยง แต่โอ่งรั่ว)

พันธบัตร = 5.97% (เสี่ยงน้อย ชนะเงินเฟ้อได้นิดหน่อย)

หุ้น = 17.59% (เสี่ยงมาก ชนะเงินเฟ้อได้เยอะ)

การลงทุน 101:รู้เรื่องการลงทุน

 






การลงทุน

คือการนำเงินที่เราเก็บซื้อ ทรัพย์สิน(Asset) ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 2.24%)

สมัยก่อนเราอาจจะคิดว่าการฝากเงินเป็นทั้งวิธีการออมเงินและลงทุนที่ดีที่สุด

เพราะสมัยก่อนดอกเบี้ยเงินฝากนั้นค่อนข้างสูงและเอาชนะเงินเฟ้อได้

แต่ในสมัยนี้ดอกเบี้ยเงินฝากนั้นมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.92% ซึ่งพูดๆง่ายๆคือ ติดลบ ยิ่งฝากยิ่งจน หลายๆคน

อาจจะงงว่าทำไมถึงยิ่งฝากยิ่งจน... มาดูตัวอย่างกัน

ง่ายๆ สมมติเมื่อ 10ปีก่อน เรามีเงิน 10,000 บาท แน่นอนทำอะไรได้เยอะ

สมัยก่อนกินข้าวจานละ 20 บาท วันละ 3 มื้อ จะมีรายจ่ายต่อเดือนคือ 20x3x30 = 1,800 บาท

ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยนี้ ข้าวจานละ 35 บาท 3 มื้อ จะมีรายจ่ายต่อเดือนคือ 35x3x30 = 3,150 บาท




ถ้าคิดเฉพาะค่าข้าว เราจะรู้ว่าข้าวแพงขึ้น 75% ของเมื่อ 10 ปีก่อน สาเหตุเกิดจาก ภาวะเงินเฟ้อที่มี

มากขึ้นทุกปี ให้ค่าเฉลี่ย 9 ปี ตามตารางเปรียบเทียบ คือ -2.24% ทุกปี นั่นเอง

หากดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1.92% ส่วนเงินเฟ้ออยู่ที่ -2.24%

จะพบว่ายิ่งเราฝากเงินกับธนาคาร พอผ่านไปแต่ละปี

เราจะได้ผลตอบแทนคือ -0.32% ยิ่งฝากยิ่งจนแน่นอน... จนในที่นี้ไม่ใช่ เงินเราหายไปนะ

แต่สิ่งที่หายคือมูลค่าของเงิน เช่นเราฝากเงิน 100,000 บาท

อาจจะได้เงิน 101,920 บาท (ได้ดอกเบี้ยมา 1,920 บาท) แต่อย่าลืมเงินเฟ้อที่ตามมา

มันลวงหลอกให้มูลค่าของมันเหลือ 99,680 ต่างหาก (โดนเงินเฟ้อ -2.24% เล่นงานไป)



เห็นไหมครับว่ายิ่งฝากยิ่งจน...



ที่เขียนมาทั้งหมดแปลว่า หากเรามีเงินเก็บ และเงินเก็บงั้นเป็นเงินที่เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะไม่เอามา

ใช้ในชีวิตประจำวัน ควรเอาเงินไปฝากในที่ที่ให้ผลตอบแทนที่เอาชนะเงินเฟ้อได้นั่นเอง


ลองดูตารางเปรียบเทียบผลตอบแทนของการออมเงินในที่ต่างๆกันดูครับ



ตารางเปรียบเทียบผลตอบแทน ระหว่างหุ้น พันธบัตร เงินฝาก และอัตราเงินเฟ้อ


เครดิต:
http://www.moneymartthai.com/special_feature/index.php?cat=dd5c07036f2975ff4bce568b6511d3bc&know_id=39